วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กล้วยกับการลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า
วิธีปฏิบัติ

1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว เป็นต้น ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง

กินกล้วยหอม 2-4 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตามจนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า ที่มาที่ไปของสูตรลดความอ้วนด้วยกล้วยนั้น มาจากเภสัชกรนางหนึ่ง ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และมียอดขายถล่มทลายขายเกิน 1 ล้านเล่มในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแปลในหลายภาษา
ที่มา: หนังสือ "Asa Banana Diet" โดย “ฮามาจิ” เว็บไซต์ www.asabanana.net

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

7 อาชีพในอาเซียน



AEC ย่อมมาจากชื่อเต็มๆ ว่า Asean Economics Community เป็นการรวมตัวของประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว  เวียดนาม  มาเลเซีย สิงคโปร์  อินโดนีเซีย  ฟิลิปปินส์  กัมพูชา บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน มีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง โดยมีผลประโยชน์ อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนทำจะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว) โดยอาเซียนจะรวมตัวเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” อย่างจริงจังในวันที่ 1 มกราคม 2558 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า
และจากผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9  ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้านคุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษของอาเซียนได้อย่างเสรี ด้านคุณสมบัติในสาขาอาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย นักวิชาชีพ แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรีข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 7 อาชีพ และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการเพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 7 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่
  • อาชีพวิศวกร( Engineering Services)
  • อาชีพพยาบาล (Nursing Services)
  • อาชีพสถาปนิก(Architectural Services)
  • อาชีพการสำรวจ (Surveying Qualifications)
  • อาชีพนักบัญชี (Accountancy Services)
  • อาชีพทันตแพทย์ (Dental Practitioners)
  • อาชีพแพทย์ (Medical Practitioners)
และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 7 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสายวิชาชีพทั้ง 7 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้ผู้จบการศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 7 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้น
จากเดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศอาเซียน นอกจากนั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้งสิ้น เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพของผู้จบวิชาชีพทั้ง 7 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน ทำให้โอกาสในการหางานมีสูง
ในขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลมาตรฐานของอาชีพทั้ง 7 นั้นคงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก เพื่อรักษามาตรฐานของผู้จบวิชาชีพในสาขาอาชีพนั้นๆ ในไทยให้คงเดิม หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก ป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานขององค์กรในการผลิตคน บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้นจำนวนมากเพื่อตอบสนองตลาดที่ใหญ่ขึ้น มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวม
อีกปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่างคือ บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 7 อาชีพในไทยด้วยเช่นกัน เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของคนไทยเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม สังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ จำนวนคนในวัยทำงานกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีข้อมูลว่าอีกประมาณสิบปีข้างหน้า สัดส่วนคนในวัยทำงานจะต่ำกว่าประชากรผู้สูงอายุมาก นี่จะทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือในกลุ่มอาชีพทั้ง 7 นั้น ผู้ที่จบจากสายวิชาชีพดังกล่าวจะประกันได้ว่าไม่น่าจะมีใครที่ตกงาน เพราะมีตลาดใหญ่มากรองรับทั้งในไทย และในประเทศอาเซียน
ข้อตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 7 อาชีพในปี 2015 (2558) แม้จะเป็นโอกาสทองของคนไทยในสายวิชาชีพดังกล่าว แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งในด้านการที่คนของเราไปทำงานบ้านเขา และการที่คนบ้านเขามาทำงานในบ้านเรา เพราะถ้าการระวังไม่รัดกุม โอกาสทองนั้นอาจพลิกเป็นวิกฤต และมีผลกระทบรุนแรงต่อบางสายวิชาชีพได้

เคล็บลับผิวขาว



วิธีทําให้ผิวขาว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
         
          ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

          
อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 

           
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน


รีวิว ipad mini


รีวิว iPad mini (ไอแพด มินิ) แท็บเล็ตขนาด 7.9 นิ้ว ตัวแรก จาก Apple
[27-พฤศจิกายน-2555] เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ว สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) iPad ขนาดเล็ก 7.9 นิ้วตัวแรกจาก Apple ซึ่งเปิดจำหน่ายที่ร้าน iStudio, Banana IT, Power Mall และร้านค้าอื่นๆ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา โดยในช่วงแรก ของการจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น จะมีแต่รุ่นที่รองรับ Wi-Fi เท่านั้นครับ ส่วน iPad mini (ไอแพด มินิ) รุ่น Wi-Fi + Cellular หรือรุ่นที่สามารถรองรับเครือข่าย 3G ในไทยได้ จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ประมาณเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะต้องรอ กสทช. อนุมัติให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือนั่นเองครับ
สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่ทางทีมงานเว็บไซต์ techmoblog จะนำมารีวิวกันในวันนี้ เป็น iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่สั่งตรงมาจาก Apple Store online ซึ่งเปิดจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทางทีมงาน ได้ทำการสั่งซื้อ iPad mini (ไอแพด มินิ) ความจุ 16GB Wi-Fi ทั้งสีขาว White & Silver และ สีดำ Black & Slate ไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน และเพิ่งได้รับสินค้า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นั่นเองครับ ก่อนจะเข้าสู่บทความ รีวิว iPad mini (ไอแพด มินิ) มาดูสเปคคร่าวๆ ของ iPad mini (ไอแพด มินิ) กันก่อนครับ
สเปค iPad mini (ไอแพด มินิ)
- หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล (163 ppi)
- ระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor (Apple A5 chipset) ซึ่งเป็นซีพียูเดียวกับ iPad 2
- RAM ขนาด 512MB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB, 32 GB และ 64 GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช
- มีรุ่นรองรับเครือข่าย 3G และ 4G
- น้ำหนัก 308 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi และน้ำหนัก 312 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular
หลังจากทราบ สเปค iPad mini (ไอแพด มินิ) กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไป เรามายลโฉม iPad mini (ไอแพด มินิ) ทั้งสีขาว และสีดำ กันแบบเต็มๆ กันครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ) : ดีไซน์ และ การออกแบบ
สำหรับ iPad mini ที่ทางทีมงาน techmoblog นำมารีวิวในวันนี้ สั่งซื้อมาจาก Apple Store ครับ โดยทำการสั่งซื้อ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา และเป็นวันแรกที่มีการ เปิดจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่างเป็นทางการ บน Apple Store Online Thailand ประเทศไทย โดยทางทีมงาน ได้รับ iPad mini เมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา รวมระยะเวลา การสั่งจอง ทั้งสิ้น 2 สัปดาห์เศษๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ของการสั่งซื้อสินค้า ที่เพิ่งเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก บน Apple Store ครับ เนื่องจากมียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาในการจัดส่งสินค้า พอสมควรเลยทีเดียว
โดยปกติแล้ว บริษัท ที่ทำการจัดส่ง ipad mini นั้น ก็คือ DHL ครับ ซึ่งจากการสอบถาม พนักงานของ DHL ทำให้ทราบว่า ในช่วงนี้ มีสินค้าของ Apple เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถจัดส่งได้ทัน จึงต้องมีการส่งต่อไปยังผู้จัดส่งรายชื่อ ที่ถือว่า เป็น sub ของ DHL อีกทอดหนึ่ง รวมไปถึงการจัดส่งแบบ EMS กับไปรษณีย์ไทย ซึ่งทางทีมงาน พบเจอกับการจัดส่ง ทั้ง 3 รูปแบบครับ โดยตัวสินค้า อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีร่องรอยความเสียหาย หรือการฉีกแกะแต่อย่างใด ฉะนั้น ท่านที่เป็นกังวลว่า สินค้าจะเสียหาย ขอให้คลายกังวลในจุดนี้ไปได้เลยครับ
สำหรับกล่อง iPad mini (ไอแพด มินิ) ทั้ง สีขาว และ สีดำ นั้น ตัวกล่องจะเป็นสีขาวทั้งหมด แตกต่างจาก iPhone 5 (ไอโฟน 5) นะครับ ที่ตัวเครื่องสีดำ กล่องจะเป็นสีดำ ส่วนตัวเครื่องสีขาว กล่องจะเป็นสีขาว ซึ่งด้านหน้ากล่องนั้น มีรูปของ iPad mini อย่างชัดเจน และมีโลโก้ Apple ประดับอยู่ด้านข้างกล่องครับ
iPad mini สีขาว และสีดำครับ จะเห็นว่า ทั้ง 2 สีนั้น มีความโดดเด่นกันไปคนละแบบ แล้วแต่ความชื่นชอบของผู้ใช้งานเป็นหลักว่า ชอบสีใดมากกว่ากัน
เนื่องจากหน้าจอของ iPad mini นั้น ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display ฉะนั้น องศาการมอง iPad mini ในมุมต่างๆ จะมีความแตกต่างจาก iPad 3 และ iPad 4 อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือ หน้าจอของ iPad 3 หรือ The new iPad นั้น จะมีความสว่างกว่ามาก อย่างไรก็ดี แม้ว่า หน้าจอของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น จะไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display แต่จากการทดสอบการใช้งาน จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้งานมากเท่าใดครับ ท่านที่เคยใช้ iPad 2 (ไอแพด 2) มาก่อน จะทราบดีว่า สามารถใช้งานได้ปกติ ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ครับ
มาดูด้านหลัง iPad mini กันบ้างครับ สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) ตัวเครื่องสีดำนั้น ด้านหลังจะเป็นสี Slate ออกเทาเข้มปนดำนั่นเอง ซึ่งเป็นการเคลือบสีครับ ส่วน iPad mini สีขาว ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นสีเงิน เหมือนกับ iPad รุ่นอื่นๆ ครับ แต่ความแตกต่างของ iPad mini สีขาว กับ iPad รุ่นอื่นนั้น อยู่ตรงโลโก้ Apple ครับ ซึ่ง โลโก้ Apple ของ iPad mini สีขาว จะเป็นสีบรอนซ์เงิน ในขณะที่รุ่นอื่น จะเป็นสีดำ ส่วน iPad mini สีดำ โลโก้ Apple ก็เป็นสีดำตามปกติครับ (ขออภัยที่รูปอาจจะมองเห็นไม่ชัดนะครับ เนื่องจากตัวเครื่องได้ทำการติดฟิล์มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยทำให้เกิดการสะท้อนขณะถ่ายภาพครับ)
ด้านบนของจอแสดงผลนั้น เป็นกล้องด้านหน้า แบบ FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายได้เคลื่อนไหวได้ความละเอียดสูงสุด 720p อีกทั้ง ยังสามารถใช้งาน FaceTime ผ่าน Wi-Fi หรือเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (เฉพาะรุ่น Wi-Fi + Cellular)
นอกจากนี้ กล้องด้านหน้า ยังมีฟีเจอร์ Face detection ระบบตรวจจับใบหน้า โฟกัสไปที่ใบหน้าของผู้ถูกถ่าย และเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor หรือ BSI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด รวมไปถึงฟังก์ชั่น Geotagging หรือการแนบข้อมูลพิกัด ไปกับภาพถ่าย หรือภาพวิดีโอครับ
ส่วนด้านล่างของจอแสดงผล ยังคงเป็น ปุ่ม Home ที่มีลักษณะเป็นปุ่มกลม เหมือนกับอุปกรณ์ iOS รุ่นอื่นๆ และเหมือนเช่นเคย การกดปุ่ม Home ควบคู่ไปกันปุ่มเปิด-ปิดเครื่องในด้านบนพร้อมๆ กัน เป็นการ capture screenshot ครับ
มาดูกันที่ปุ่มควบคุมการทำงาน ด้านข้างตัวเครื่องกันบ้างครับ โดยด้านขวาของตัวเครื่อง จะมีปุ่มควบคุมการทำงาน ทั้งหมด 3 ปุ่มด้วยกัน โดยปุ่มแรก เป็นได้ทั้ง ปุ่มปิดเสียง หรือ ปุ่มล็อคการหมุนของหน้าจอ (Lock Rotation) ซึ่งผู้ใช้งาน จะต้องไปตั้งค่าการใช้งานก่อนว่า อยากให้เป็นปุ่มควบคุมการทำงานอะไร โดยเข้าไปที่ Settings > General จากนั้น จะเห็นรายละเอียดที่เขียนว่า Use Side Switch to: ให้เลือกระหว่าง Lock Rotation หรือ Mute ส่วนอีก 2 ปุ่มถัดมา ก็คือ ปุ่มปรับเสียง ครับ
ส่วนด้านซ้ายของ iPad mini รุ่น Wi-Fi นั้น ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ครับ
มาดูกันที่ด้านบนของตัวเครื่องกันบ้างครับ ทางด้านซ้าย เป็นช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ถัดมาตรงกลาง เป็นไมโครโฟน และด้านซ้าย เป็นปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือ Sleep อย่างไรก็ดี ในกล่องของ iPad mini นั้น ไม่มีหูฟังมาให้ จำเป็นจะต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งสามารถใช้กับหูฟังประเภทใดก็ได้ เนื่องจากช่องเสียบนั้น เป็นขนาดมาตรฐานอยู่แล้วนั่นเอง
ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องนั้น เป็นพอร์ต Lightning Connector แบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) สามารถใช้สาย data อันเดียวกันได้ ในขณะที่ลำโพง เป็นแบบ Stereo ครับ
ความแตกต่างของขอบตัวเครื่อง ระหว่าง iPad mini สีขาว และ สีดำ ก็คือ iPad mini สีดำ จะเป็นขอบเคลือบสี ซึ่งถ้าหากใช้งานไม่ระมัดระวัง มีโอกาสที่สีถลอกได้ครับ ในขณะที่ iPad mini สีขาว ขอบตัวเครื่องจะเป็นขอบเงิน เหมือนกับของของ iPhone 5(ไอโฟน 5) สีขาว นั่นเอง สวยไปอีกแบบครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง ประกอบไปด้วย ที่ชาร์ตแบตเตอรี่แบบ Wall charge และสาย Lightning to USB Cable
เปรียบเทียบ iPad mini (ไอแพด มินิ) และ The new iPad (ipad 3)
อย่างที่ทุกท่านทราบกันครับว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น มีขนาดที่เล็กกว่า iPad 3 หรือ The new iPad ซึ่งตัวเครื่องที่มีขนาดที่เล็กกว่านี่เอง ทำให้ iPad mini สามารถพกพาได้สะดวกกว่า มีน้ำหนักเบากว่า และจับได้ถนัดมือมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วย หน้าจอที่มีความละเอียดน้อยกว่า ipad 3 ครับ เนื่องจาก ipad mini ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display นั่นเอง อย่างไรก็ดี แม้ว่าความละเอียดของหน้าจอ iPad mini จะน้อยกว่า iPad 3 แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้งานแต่อย่างใดครับ
มาดูที่ด้านหลังตัวเครื่องกันบ้างครับ ความแตกต่างระหว่าง iPad 3 (The new iPad) กับ iPad mini (ไอแพด มินิ) นอกจากจะมีขนาดของพอร์ตการเชื่อมต่อ ด้านล่างตัวเครื่อง ที่ไม่มีเหมือนกันแล้ว ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อยอีกด้วย ซึ่งจากรูป จะเห็นได้ว่า โลโก้ Apple นั้น ได้มีการเปลี่ยนสี จากสีดำ บน iPad 3 เป็นสีเงิน บน iPad mini อีกทั้ง ตัวเครื่องของ iPad mini (ไอแพด มินิ) จะออกเหลี่ยมกว่า iPad 3 ครับ
เมื่อวางซ้อนกัน จะเห็นว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) มีขนาดเล็กกว่า iPad 3 (The new iPad) มากทีเดียว
เปรียบเทียบ หน้าจอ iPad 3 (ซ้าย) และ iPad mini (ขวา) ขนาด 100%
ลองมาเปรียบเทียบ ความละเอียดของภาพ จากหน้า screenshot ระหว่าง iPad 3 (The new iPad) และ iPad mini ครับ จะเห็นได้ว่า ภาพขนาดปกติ แบบ 100% ระหว่าง iPad 3 และ iPad mini มีความแตกต่างกันมากทีเดียว
หน้าจอ iPad 3 (ซ้าย) และ iPad mini (ขวา)
และเมื่อเราทำการปรับ ไอคอน Music จาก iPad mini ให้มีขนาดที่เท่ากับ iPad 3 จะเห็นได้ว่า มีรอยหยักตามขอบครับ ซึ่งถือว่า ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด เนื่องจาก ความละเอียดหน้าจอของ iPad mini นั้น มีความละเอียดน้อยกว่า iPad 3 นั่นเองครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ) : iOS 6 และ อินเทอร์เฟส
  
สำหรับระบบปฏิบัติการ ที่ใช้บน iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น เป็นระบบปฏิบัติการ iOS 6.0.1 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด (ณ วันที่ทำการรีวิว) โดยมีอินเทอร์เฟส เหมือนกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) และ อุปกรณ์ iOS อื่นๆ นั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อใช้งาน iPad mini ในแนวตั้ง สามารถเรียง ไอคอน ได้ 5 แถว เช่นเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) ในขณะที่ ถ้าหากใช้งานในแนวนอน จะเป็นแบบ 4 แถวครับ
  
ส่วนในหน้า lockscreen นั้น จะมี 2 ส่วนหลักๆ นั่นก็คือ ปุ่ม slide to unlock มีไว้เพื่อปลดล็อคตัวเครื่อง และ ไอคอน shortcut ของแอพพลิเคชั่น photos ซึ่งเมื่อกดเข้าไป จะพบกับภาพที่บรรจุอยู่ในส่วนของ Camera Roll นั่นเอง โดยจะเป็นแสดงภาพแบบสไลด์ครับ นอกจากนี้ การกดปุ่ม Home 2 ครั้งติดต่อกัน ในหน้า lockscreen จะพบกับปุ่มการควบคุมการเล่นเพลง และปรับเสียง
ถ้าหากทำการลากจากด้านบนหน้าจอลงมา จะพบกับ Notification Center ซึ่งสามารถเข้าใช้งานได้ตลอดเวลา แม้ว่าขณะนั้น จะเล่นเกม หรือเปิดแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ iPad mini (ไอแพด มินิ) ยังรองรับการใช้งาน Siri อีกด้วยครับ โดยรองรับได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาสเปน, ภาษาอิตาลี, ภาษาเยอรมัน, ภาษาเกาหลี, ภาษาจีนกลาง และภาษากวางตุ้ง แน่นอนครับว่า ยังไม่รองรับภาษาไทย
โดยความสามารถที่เพิ่มขึ้น ของ Siri บน iOS 6 นั้น มีหลายอย่างด้วยกัน ทั้งการสอบถาม ผลการแข่งขันกีฬาโปรด, ค้นหาร้านอาหาร หรือค้นหารอบหนัง ซึ่งฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ จำกัดการใช้งานในบางประเทศเท่านั้นครับ
สำหรับการเปิดใช้งาน Siri นั้น ทำได้โดยการกดปุ่ม Home ค้างไว้ครับ แต่จำเป็นจะต้องเปิดใช้งานเสียก่อน โดยเข้าไปที่ Settings > General > Siri
ที่มาจาก http://www.techmoblog.com/ipad-mini/

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารลดความอ้วน


ความอ้วนกับสาว ๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งถ้าเกิดใครมาทักว่า "นี่เธอดูอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย" คงจะถึงขั้นตัดเพื่อนตัดพี่น้องกันเลยทีเดียว อิอิ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะวันนี้เรารวบรวม สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วน ภายในช่วงเวลาที่เราต้องการ ตั้งแต่ 3 วัน ถึง 1 เดือน มาฝากสาว ๆ ด้วย เอ้า...ไหนมาดูซิ ว่ามี สูตรน้ำหนัก อะไรน่าสนใจบ้างเอ่ย
สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 1: สูตรลดน้ำหนัก ของสมเด็จพระเทพฯ 

         เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ค่ะ โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้

 วันที่ 1 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 2 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : โยเกิรต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

 วันที่ 4

          มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : โยเกิร์ต